เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วันป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เรามาวัดมาวากันเราก็ต้องการความสงบของใจ ทุกคนต้องการความสงบนะ โลกมันร้อน ก็ต้องหาความร่มเย็น แต่เวลามาวัดแล้วมันก็ร้อน ร้อนเพราะว่าธรรมชาติ วัดกับโลกนะ โลกเห็นไหม โลกกับธรรม !
ถ้าโลกกับธรรมเห็นไหม โลกก็สภาวะของโลก ธรรมะคือความเข้าใจสภาวะโลกนั้น พอเข้าใจตามสภาวะของโลกนั้น มันก็ร่มเย็น ทั้งๆ ที่โลกร้อนอยู่ แต่ธรรมะเย็นได้
นี่ก็เหมือนกัน แต่ถ้าเราเป็นโลก เราอยู่กับโลกเราเร่าร้อนนะ พอมาวัด วัดมันก็สภาพวัดแบบนั้นนะ มันก็ภูมิอากาศเหมือนกัน ธาตุ ๔ เหมือนกัน เพียงแต่คุณธรรมความเป็นธรรมในหัวใจ นั้นเป็นธรรม !
ธรรมะนี้ยั่งยืน ธรรมะนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดมเป็นองค์ที่ ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้ว ๔ องค์ องค์ที่ ๕พระศรีอริยเมตไตรย อนาคตวงศ์ยังมีไปเรื่อยๆ นี้พอตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เวลาสิ้นสุดแล้วธรรมะมันยั่งยืน !
ยั่งยืน คือใจดวงนั้นมันสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้ว มันจะไม่เวียนในวัฏฏะนี้อีก แต่โลกมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โลกนี้เป็นอนิจจังเห็นไหม โลกนี้เป็นอนิจจัง ใช่ ! เราเกิดมากับโลก เราปฏิเสธโลกไม่ได้หรอก คนที่มีธรรมะนะ ไม่ปฏิเสธโลกหรอก
ดูสิ เวลาคนที่ปฏิบัติไม่เป็นเห็นไหม เวลาเกิดมา เกิดมาจากไหน เกิดมาจากธาตุ ๔... ไม่ใช่ ! เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพ่อมีแม่ทั้งนั้นนะ เราเกิดมาจากพ่อแม่ เราเกิดมาจากโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากโลก เราเกิดมาจากโลก เกิดมาจากพ่อแม่นะ
แต่พ่อแม่เห็นไหมเป็นโลก กตัญญูกตเวที ! พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นเพราะให้ชีวิตเรามา เรามีความกตัญญูกตเวที เราต้องดูแลพ่อแม่เรา ถ้าเราดูแลพ่อแม่เรา เราจะดูแลพ่อแม่เราในสถานะไหนล่ะ ถ้าดูพ่อแม่เราในทางโลก เราก็เกื้อหนุนจุนเจือกัน
ถ้าเราดูพ่อแม่เราทางธรรม ! เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวช พระเจ้าสุทโธทนะเจ็บช้ำน้ำใจนัก ในครอบครัวมันกระเทือนกันไปหมดล่ะ เพราะอะไร เพราะมันไม่มีการเสียสละ ไม่มีการแยกออกมา มันจะเป็นธรรมไปได้อย่างไร มันก็เป็นโลกทั้งนั้น
แต่เวลาเจ้าชายสิทธัตถะเสียสละออกมาจากพระราชวัง พระเจ้าสุทโธทนะ โห..เจ็บช้ำน้ำใจนะ นางพิมพานอนฟังข่าว เจ้าชายสิทธัตถะอยู่ทางไหนจะหันหัวไปทางนั้น ทั้งๆ ที่ก็เสียใจนะ เพราะไปไม่ได้ร่ำไม่ได้ลากันเลย แต่มันก็ยัง... ธาตุแท้ไง ธาตุความรู้สึกคุณงามความดีไง ถึงจะน้อยเนื้อต่ำใจขนาดไหน ก็ฟังข่าวนะ
ระบบกษัตริย์นะ แว่นแคว้นมีกษัตริย์ มันก็มีการข่าวทั้งนั้นนะ ข่าวว่าไปอยู่ที่ไหน ถึงไหน เขารู้ได้ทั้งนั้นนะ เพียงแต่ว่าการกระทำๆ อย่างไร ฟังข่าว ฟังต่างๆ เห็นไหม
แต่ด้วยสิ่งต่างๆ ก็ยอม อยู่ทางไหน ก็นอนฟังข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะทำอย่างไรนอนกับดินกินกับทราย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็นอนอยู่บนเตียงบนตั่ง ก็นอนลงกับพื้น ทำเหมือนกัน ! นี่ไง ทำเหมือนกันเห็นไหม สิ่งนี้เพราะโดยธาตุแท้
การเสียสละออกไปเฉพาะเรื่องของโลก โลกมันก็ทำได้ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ทรมานต่างๆ ทำต่างๆ มันก็เรื่องโลกทั้งนั้นนะ ฌานโลกีย์ก็เรื่องโลก ต่างๆ มันไม่เข้าสู่สัจธรรมเห็นไหม โลกมันเปลี่ยนแปลงความประพฤติปฏิบัติ
ข้อปฏิบัติเห็นไหม โลกมันเปลี่ยนแปลง โลกมันเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งมันเปลี่ยนแปลงหมด สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมันเป็นอนิจจัง พึ่งได้ไหม สิ่งที่พึ่งไม่ได้เราไปยึดเกาะทำไม แต่เราประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้นะ ข้อวัตรปฏิบัติเขาว่าเป็นโลก
มีเพื่อนหมู่คณะมา บอกว่า เฮ้ย ! เขาทิ้งกันหมดแล้ว เขาไม่ทำหรอก มันเป็นเรื่องโลกๆ นี่ก็เหมือนกัน เราทำนี่ก็เป็นเรื่องของโลก แต่เรื่องของโลกเห็นไหม ดูสิ เรื่องโลก ดูความละอาย ดูความสมควรแก่ความเป็นจริง มันมีเหตุมีผลของมัน ถึงจะโลกก็เป็นเหตุผล เพราะมันอาศัยโลกนี้แหละ อาศัยสมมุตินี้แหละจะเข้าไปสู่ความจริง ถ้าเราไม่ได้อาศัยโลก อาศัยสมมุติ มันไม่ใช่ความจริงเลย เราจะเข้าไปสู่ความจริงได้อย่างไร
แต่ความจริงอันนั้นเห็นไหม ความจริงอันนั้นที่ว่ามันคงที่ ความจริงอันนั้นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ธรรมะมีการเปลี่ยนแปลงนะ ถ้าจิตใจเป็นธรรมแล้วมันไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันคงที่ของมันอย่างนั้นนะ
แต่ ! แต่ในเมื่อเป็นแก่นเป็นแกน ดูสิ ดูแกนของโลกเห็นไหม แกนของโลกมันยังเอียงนะ เวลาแผ่นดินไหวแต่ละครั้งนะ แกนของโลกเอียง กาลเวลาเปลี่ยน โลกมันจะเอียงไป ถึงเวลาโลกนี้ทางวิทยาศาสตร์แล้วมันต้องย่อยสลาย ต้องทำลายตัวของมันเองไป
แต่ในทางธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า โลกนี้เป็นอจินไตย อจินไตยเพราะเหตุใด เพราะมันเปลี่ยนแปลง มาทำลายขนาดไหน มันก็เปลี่ยนไป โลก.. ดาวใหม่.. เกิดตลอดเวลา มันจะมีดาวดวงใหม่อยู่ตลอด จักวาลมันจะมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน มันมีการเปลี่ยนแปลงของมันเห็นไหม
แต่เป็นอจินไตยคือมันมีของมันอยู่ไง ถ้ามันเปลี่ยนแปลงอย่างไรโลกก็ต้องมีของมันอยู่ เพราะจิตวิญญาณมันมี โลกมันเป็นอย่างนี้
ถ้าโลกเป็นอย่างนี้มันพึ่งอะไรได้ ถ้ามันพึ่งไม่ได้เห็นไหม มันพึ่งไม่ได้ ! แต่มันเป็นเครื่องอาศัย ข้อวัตรปฏิบัตินี่ก็เป็นเครื่องอาศัยเห็นไหม ถ้าเราไม่มีข้อปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติ คนปฏิบัติมันจะรู้นะ นั่งทั้งวันทั้งคืนนะ มันอุดอู้ แต่นี้บอกว่า มันอุดอู้ขึ้นมานี่ มันมีข้อวัตรเห็นไหม มาทำข้อวัตร กวาดลานวัดต่างๆ ทำความสะอาดต่างๆ มันก็ผ่อนคลายของมัน
สิ่งที่ผ่อนคลาย การกระทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางธรรมวินัยไว้ ถ้าเราก้าวเดินตามนั้นมันถูกต้องดีงามทั้งนั้นนะ แต่เริ่มต้นทำใหม่ๆ มันไม่ถูกต้องดีงามเพราะอะไร เพราะมันขัดแย้งกับใจของเรา มันไม่สะดวกสบายไปทั้งนั้นนะ มันขัดแย้งไป
แต่พอเราทำไป.. ทำไป.. เราจะเห็นคุณประโยชน์ของมัน ดูสิ เวลาเราฉีดยา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หมอเขาเอาเข็มทิ่มเข้าไปนะ เวลาเราเอาเข็มทิ่มกันนะเราเจ็บช้ำน้ำใจเปล่าๆ นะ แต่พอหมอทิ่มเข้าไปนะ เขาฉีดยาให้เรา เขารักษาโรคของเราให้หายนะ
ข้อวัตรปฏิบัติเวลาใจมันทำเข้าไปเห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติมันคลายไง มันคลายสิ่งยึดมั่นถือมั่นของมัน มันคลายของมันออก ถ้ามันคลายออกมานะ เราจะเห็นคุณประโยชน์ของมัน
เวลาครูบาอาจารย์ท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ลึกลับมหัศจรรย์ มหัศจรรย์เท่ากับสอนใครไม่ได้เลย เพราะความรู้อันนั้นมันเป็นเป้าหมาย แล้วเป้าหมายนี้มาจากไหน เป้าหมายนี้ อ๋อ.. มันมาได้เพราะข้อวัตรปฏิบัติ มันมาได้เพราะวิธีการไง
ถ้าวิธีการอันนั้น เรารักษาวิธีการอันนั้นไว้ แม้จะไปถึงเป้าหมายแล้ว แต่ถ้าเรารักษาวิธีการนี้ไว้ให้กับอนุชนรุ่นหลัง ไว้ให้แก่ผู้ที่ก้าวเดินต่อมา เรารักษาข้อวัตรนั้นไว้ ไม่ใช่ว่าข้อวัตรนั้นมันจะเป็นคุณธรรม
ดูสิ เราทำเข้าวัตร โลกเขาก็ทำกันนะ ทำความสะอาดเขาก็ทำของเขาเหมือนกัน ทำความสะอาดเขาก็ทำของเขา อยู่ที่ในส่วนของเขา ที่แห่งนั้นเขาทำเพื่อความเป็นอยู่ของเขา แต่นี้เราทำเพื่อโลกไง เราทำเพื่อธรรม เราทำเพื่อสัจธรรม ถ้าเอาโลกทำนี้แหละ แต่ทำเพื่อสัจธรรม สัจธรรมจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเกิดขึ้นมาจากเราปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริงเห็นไหม
เราทำสิ่งนั้นแล้วเราวางไว้ ความชื่นใจ เพราะเราเป็นคนทำใช่ไหม เวลาเราเสียสละทาน เราเสียสละไปเพื่อใคร เราเสียสละสิ่งของที่หลุดออกจากมือเราไปเห็นไหม สิ่งผู้ที่ได้ของเราไปดำรงชีวิตของเขา นี่สิ่งนั้นที่ดำรงชีวิตของเขา สิ่งที่เราได้มาคืออะไร คือความอิ่มอกอิ่มใจ
ถ้าความอิ่มอกอิ่มใจ มันก็แค่ชั่วคราว พอคนทำบุญบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า มันจะชิน พอมันชิน ทำเป็นเป็นจริตนิสัย มันฝืนออกไปไม่ได้ แต่มันก็ไม่ดูดดื่ม มันไม่ดูดดื่มขึ้นมา เราก็ต้องทำให้มากขึ้น
เรานั่งสมาธิภาวนา มันก็ละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปเห็นไหม ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลหนหนึ่ง ... ถือศีลหนหนึ่ง ไม่เท่ากับทำสมาธิหนหนึ่ง มันมีของมันนะ เพราะมีสมาธิ นี่สัจธรรม ! เพราะสมาธิมันฝังไปในใจแล้ว สมาธิมันก็เป็นอนิจจัง สมาธิก็เป็นโลก เพราะสมาธิเกิดจากจิต สมาธิก็ต้องเสื่อมไปธรรมดา แต่จิตที่มันได้สัมผัสความสงบของใจอันนั้น มันจะฝังใจอันนั้น
คนทำความสงบของใจได้ ถ้ามันจะฟุ้งซ่านแค่ไหนนะ เวลามันเผลอ มันไปตามเขา ถ้ามีสติเมื่อไรนะ ทำไมเราโง่ขนาดนี้ เราออกมายุ่งกับโลกทำไม เราออกมายุ่งกับความคิดเราทำไม ความคิดนี้เป็นโลก ความคิดมันเกิดจากจิต มันเป็นโลก
ความคิดมันเป็นโลก เพราะมันเกิดดับ มันเป็นอนิจจังเหมือนโลกนี้แหละ แล้วถ้าเข้าไปสู่พลังงาน เข้าไปสู่ความรู้สึกของเรา มันเป็นความสงบร่มเย็น แล้วเราโง่ทำไม เราขาดสติทำไม เราออกมารับรู้กับความคิดเราทำไม
ออกมารับรู้ความคิดออกมาอยู่กับโลก มันก็ตื่นเต้นไปกับโลก พอตื่นเต้นไปกับโลก มันก็เป็นความเร่าร้อน เพราะมันเป็นอนิจจังของมัน มันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว แล้วพลังงานไปอยู่กับความเปลี่ยนแปลง มันก็เปลี่ยนแปลงตลอดไป แต่ถ้ามันทิ้งความเปลี่ยนแปลงนั้น แล้วมาอยู่กับตัวมันเอง มันหยุดพลังงาน พลังงานตัวจิตนี้ไม่เคยตาย
พลังงานนี้ไม่เคยตาย ! เป็น สันตติ เพราะสันตติเป็นดวงๆ คำว่าเป็นดวงๆ นะเพราะว่ามันไม่มีอะไรจะพูด เพราะมันจินตนาการไม่ได้ไง มันจินตนาการจิตของตัวเองไม่ได้ พอบอกว่าเป็นดวงๆ มันจินตนาการได้ไหม อีกกี่ดวง กี่ดวงก็ว่าไป กี่ดวงๆ แล้วกี่ดวงล่ะ มันจะร้อยแปดดวง หรือมันจะกี่แสนดวง มันจะกี่ล้านดวง เพราะความคิดมันเกิดตลอดเวลา มันจะกี่ล้านดวงล่ะ
แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา พอความสงบของจิตเห็นไหม มันเป็นหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวมันเป็นสันตติ หนึ่งเดียวตั้งอยู่ได้อย่างไร พอจิตมันสงบเข้ามา ฐีติจิต มันเข้าไปอัปปนาสมาธินี่ มันก็หนึ่งเดียว มันเกิดพลังงาน พลังงานอะไรที่มันเกิดแล้วมันคงที่ล่ะ มันไม่มีหรอก !
แต่ธาตุรู้ ! สสาร ธาตุรู้ มันเป็นสสารธรรมชาติที่รู้ มันเกิดของมันอย่างไร แล้วสันตติ สันตติอย่างไร สันตติมันเกิดในตัวมันเอง ที่มันสืบต่อตัวมันเองเห็นไหม ปัจจยาการนี้มันจะเป็นปัจจยาการอย่างไร ถ้ามันปฏิบัติเข้าไปรู้ไปเห็น คำว่าจิตกี่ดวง กี่ดวงนะ ...เหมือนสอนเด็ก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเอาไว้ในอภิธรรม การสอนอภิธรรมเห็นไหม แม้แต่เชื้อโรค เรายังมองไม่เห็นเลย เรายังต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องเลย สิ่งต่างๆ ที่เรามองไม่เห็นนะ ดูสิ ดูอย่างนาโนเทคโนโลยี เห็นมันไหมล่ะ เวลาทำงานเขาใช้เครื่องมือ เอาอะไรไปจับมันนะ แล้วจิตที่เป็นนามธรรม เอาอะไรรับรู้ได้ สิ่งที่รับรู้ได้..
แล้วทีนี้จะสอนเด็กจะทำอย่างไรล่ะ จะสอนเด็กก็สมมุติขึ้นมาไง โอ..ความคิดอย่างนี้เป็นดวงหนึ่ง บุคลาธิษฐาน ! สิ่งนั้นเป็นบุคลาธิษฐาน พระพุทธเจ้าจะสอนบุคลาธิษฐาน เห็นไหม เวลาเราปฏิบัตินะอย่าให้เหมือนเต่า เต่ามันหดหัวเข้ามา มันไม่สู้สิ่งใด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเทศนาว่าการในพระไตรปิฎก เอาบุคลาธิษฐาน เอาวัตถุนั้นมาเป็นตัวอย่าง แบบอย่างสอน แล้วเราก็จิตกี่ดวงนะ ร้อยแปดดวงนะ โอ่.. การ์ตูนนะ ธรรมะการ์ตูนไง !
แต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมา มันจะรู้ของมันอย่างไร มันเห็นของมันอย่างไร ถ้ามันเห็นของมันอย่างนี้เห็นไหม สิ่งที่มันไม่ตาย เวลามันพูดมันพูดได้
จิตเป็นสันตติ สันตติคือมันสืบต่อในตัวมันเอง แล้วสืบต่อในตัวมันเอง ความคิดที่มันละเอียด ละเอียดขนาดไหน ถ้ามันละเอียดขนาดไหน มันจะย้อนกลับมา ถ้ารู้จริงเห็นไหม ธรรมะมันไม่เคยตาย ธรรมะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่เคยตาย ไม่เคยเปลี่ยน โลกมันเปลี่ยนแปลงนะ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องเป็นอย่างนี้ โลกเขาเป็นอย่างนี้ ชีวิตเราก็เป็นอย่างนี้ เพราะชีวิตเราเป็นโลก เราเกิดมากับโลกเห็นไหม
เราเกิดมาบนโลก เราเข้าใจโลก เราอยู่กับโลก ! อยู่เพื่ออาศัย เราจะอยู่อาศัยหรือไม่อยู่อาศัย มันก็คือการอยู่อาศัย เพราะคนเกิดขึ้นมาชีวิตหนึ่ง มันต้องตายเป็นธรรมดา แต่ชีวิตนี้เห็นไหม เกิดมาทุกข์ยากทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน มันก็ต้องตายไป !
สิ่งที่เป็นมาอยู่นี้ มันเกิดจากกรรม การกระทำของเรานะ ทำไมเราไม่เกิดมามั่งมีศรีสุขเหมือนเขา ทำไมเขามั่งมีศรีสุข ทำไมเราทุกข์จนขนาดนี้ คนมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนขนาดไหน ทุกข์จนที่ไหน... ทุกข์จนในหัวใจไง มันบีบคั้น.. บีบคั้นทั้งนั้นนะ
เราเกิดมากับโลก แล้วเราจะมีสติปัญญายับยั้งมันได้แค่ไหน ถ้ามันยับยั้งได้แค่ไหนเห็นไหม มันจะเข้าสู่ธรรม ถ้าเข้าสู่ธรรม ความเป็นจริงอันนั้นเห็นไหม ถ้ามีหลักการอันนี้แล้ว สิ่งนี้มันสังเวชนะ ปลงธรรมสังเวช เวลาปฏิบัติเห็นไหม เราเหมือนดูเด็กเลย เด็กมันเล่นกันมันมีความสุขของมันชั่วคราว เดี๋ยวมันก็งอแง มันเป็นเรื่องธรรมดา
เรามาปฏิบัติกันใหม่ๆ เหมือนเด็กๆ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เหงื่อไหลไคลย้อย มันมีความทุกข์ความยาก ผู้ที่ปฏิบัติมีหลักมีเกณฑ์นะ เขามองแล้วมันก็ปลงธรรมสังเวช มันเหมือนเด็กๆ เด็กๆ ที่เขาเล่นขายของ
เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จิตใจมันโดนควบคุม แล้วมันมีอนุสัย คำว่าอนุสัยมันเป็นนิสัย มันนอนเนื่อง อนุสัยเห็นไหม ความเคยชินของใจ แล้วมันไม่ได้ดังใจ มันโดนข้อวัตร มันโดนกติกาให้เข้ามาครอบงำมัน มันดีด มันดิ้น มันเศร้า มันเหงา มันหงอยเดินจงกรมไปก็คอตก
นี่เหมือนกัน ! เราเห็นเด็กๆ เล่นขายของ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ถ้าเห็นเราประพฤติปฏิบัติล่ะ มันก็เห็นสภาวะแบบนั้นแหละ มันธรรมสังเวชไหม มันธรรมสังเวช แต่ ! แต่ก็ต้องทำอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ไป พัฒนาการไป นั่งฝืนมัน นั่งสมาธิไป เดินจงกรมไปนะ จิตมันจะพัฒนาการของมัน มันจะมีประสบการณ์ของมัน
ถ้ามันมีประสบการณ์ของมัน มันจะเจริญเติบโตของมันขึ้นมาเห็นไหม ธรรมะที่ไม่เคยตาย ! ไม่เคยตาย ! มันจะเข้ามาสู่จิตของเรา จิตของเราจะสัมผัสธรรม สันทิฏฐิโก ! สันทิฏฐิโก ! เป็นปัจจัตตัง จิตมันสัมผัส !
ปัจจุบันนี้มันสัมผัสอะไร... สัมผัสความทุกข์ความยาก สัมผัสความเศร้าสร้อยหงอยเหงา มันสัมผัสอะไรล่ะ แต่สิ่งนี้เป็นโลกเห็นไหม เป็นโลกเพราะอะไร เป็นโลกเพราะมันเปลี่ยนแปลง ความเศร้าความเหงาหงอยมันเปลี่ยนแปลงได้ ความสุข ความพอใจขนาดไหน มันก็เปลี่ยนแปลงได้
มันเปลี่ยนแปลงเพราะเป็นโลก แต่ถ้ามันเป็นธรรมล่ะ เวลามันเป็นธรรมขึ้นมา มันไม่เปลี่ยนแปลง มันคงที่ของมัน มันจะเป็นของมัน จิตของเรามันทุกข์มันยากอย่างนี้ เราต้องมีสติ มีการควบคุม พัฒนาของมัน อย่าปล่อยไหลไปตามกระแส
ปล่อยไหลไปตามกระแส คือเราปฏิบัติกันอยู่นี้ไง เราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา นี่ สักแต่ว่าทำ กิริยาก้าวเดินไป แต่คิดไปเรื่องโลกๆไง แล้วคิดไปเรื่องโลกๆ ความคิดออกไป แล้วถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา มีสตินี่คิดเป็นธรรมแล้ว ถึงคิดเป็นเรื่องโลกๆ นั่นล่ะ แต่ถ้ามีสติปัญญามันจะเตือนเราไง
ดีหรือไม่ดี คิดดีหรือคิดชั่ว มันเตือนเรา นี่เป็นธรรมแล้ว ! เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะมันเป็นปัญญาที่เราจะยับยั้งเห็นไหม สติปัญญา สติธรรม ปัญญาธรรม มันเกิดขึ้นเพราะเรายับยั้งตัวเราเอง เวลาเราทำผิดพลาดกัน คนอื่นเตือนเห็นไหม มันไม่มั่นใจหรอก ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ถ้าเรามีสติปัญญาจริงแน่นอน !
ถ้ามันคิดอยู่นี่ คิดผิดนี่มันจริงแน่นอน เพราะอะไร เพราะเราคิดเอง สติปัญญาเราทันเอง นั้นมันชัดเจนเอง คือสิ่งมันชัดเจนเห็นไหม เวลาเขาจับผู้ร้ายเขาต้องให้ฟ้องศาล ศาลต้องพิพากษา ผิดหรือถูกตามแต่ศาลพิพากษาเป็นผู้ตัดสิน
แต่เวลาสติปัญญาเราทำ สติปัญญาเราเป็นธรรมะ เป็นผู้ตัดสิน เราตัดสินเองเดี๋ยวนี้ เราผิดหรือเราถูก เรารู้เดี๋ยวนี้ เราพิจารณาของเราเดี๋ยวนี้ มันตัดสินเดี๋ยวนี้ แล้วมันปล่อยวางเดี๋ยวนี้เห็นไหม สิ่งอย่างนี้มันพัฒนาเห็นไหม อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ! มันจะเป็นประโยชน์กับเรา
นี่ฟังธรรม ! นี่มาวัด ! โลกมันร้อน แล้วเรามาวัด เราก็แก้ไขของเราไป มาวัดถ้าเป็นโลกมันก็ร้อน แต่ร้อนอย่างไรนะ...
เราปลูกต้นไม้เห็นไหม เวลาต้นไม้มันยังไม่เจริญเติบโต มันจะไม่ให้ร่มเงาใครหรอก แต่ถ้าต้นไม้มันเจริญเติบโต เราเชื่อได้ไหมว่าเราปลูกต้นไม้ เราปลูกกล้าจากต้นเล็กๆ ดูเดี๋ยวนี้สิ มันเป็นป่าไปแล้ว เพราะอะไรล่ะ เพราะมันเติบโตขึ้นมาใช่ไหม
แล้วหัวใจเราเติบโตไม่ได้หรือ ศีล สมาธิ ปัญญาเราเติบโตไม่ได้หรือ มันเติบโตได้ ! เราพัฒนาได้ ! เราทำของเราได้ มันต้องเติบโตขึ้นมาสิ
นี่ไม่ใช่ปลูกต้นไม้แล้วก็ตายไป เหลือแต่แผ่นดินแห้งแล้ง ไม่มีอะไรเป็นร่มเงาให้หัวใจเราเลย ปลูกกี่ต้น กี่ต้นก็ตายหมด ต้นไม้ปลูกขึ้นมาเท่าไรก็ไม่เป็นขึ้นมาสักต้นหนึ่งเลย ตายเกลี้ยงเลย ! มันจะมีความร่มเย็นมาจากไหน
แต่เราปลูกต้นไม้ขึ้นมา แล้วมันมีความร่มเย็น มันมีร่มเงาของมันเห็นไหม ร่มเงา นี่ไง เราพัฒนาของเรา เราปฏิบัติของเรา ร่มเงามันจะให้ความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจของเรา ไม่ต้องมีใครให้หรอก ใจเราจะให้ใจเราเอง เราทำของเราได้หมด เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
ถ้ามันทำมาได้ขนาดนี้ อยู่กับโลกก็ร้อน พอมาวัด มาปฏิบัติ มันมีหลักมีเกณฑ์มันก็ร่มเย็นเห็นไหม พอร่มเย็นของเราไป เราทำของเราไป สิ่งนี้มันเป็นการพิสูจน์ศาสนาจากหัวใจ
ถ้าสิ่งนี้เป็นหัวใจเห็นไหม กราบธรรมด้วยหัวใจนะ เราไม่ได้กราบธรรมด้วยความเชื่อ ความเชื่อเห็นไหม พระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่า ธรรมะมันจะเป็นจริงหรือเปล่า พระที่สอนเราสอนผิดหรือสอนถูก ความเชื่อมันลังแลสงสัย
แต่ถ้าสัมผัสมันเป็นความจริง โอ้โฮ.. กราบจากหัวใจ ! กราบจากหัวใจนะ! เรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราทำเพื่อเรา เรามาวัดแล้ววัดใจเรา ให้เป็นประโยชน์กับเรา เอวัง